ก้าวสำคัญของเทคโนโลยีไฮโดรเจน ไต้หวัน

รายงานจากไต้หวัน: ก้าวสำคัญของเทคโนโลยีไฮโดรเจน…เมื่อ “รัตนพัฒน์ ปีวิเศษกุลเดช” สัมผัสของจริง

            สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน “รัตนพัฒน์ ปีวิเศษกุลเดช” กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับความตื่นเต้นจากการเดินทางไปศึกษาดูงานด้านเทคโนโลยีพลังงาน ณ ประเทศไต้หวัน หนึ่งในผู้เล่นสำคัญในภูมิภาคเอเชียที่กำลังเร่งพัฒนาพลังงานสะอาด เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero Emission อย่างจริงจัง และหัวใจสำคัญที่ผมได้สัมผัสในทริปนี้คือ เทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจน ที่ไต้หวันกำลังผลักดันอย่างเต็มที่

ในฐานะนักวิชาการอิสระ ผมได้มีโอกาสเยี่ยมชมทั้งสถาบันวิจัยชั้นนำ โรงงานผลิตอุปกรณ์สำคัญ และพูดคุยกับนักวิจัยและผู้ประกอบการภาคเอกชนหลายท่าน ทำให้ผมได้เห็นภาพรวมของภูมิทัศน์ไฮโดรเจนของไต้หวันที่น่าสนใจและแตกต่างจากมุมมองที่เรามักจะเห็นจากรายงานทั่วไป

ความมุ่งมั่นที่จับต้องได้: ไฮโดรเจนในฐานะยุทธศาสตร์ชาติ

           สิ่งที่สัมผัสได้ทันทีเมื่อมาถึงไต้หวันคือ ความมุ่งมั่นระดับชาติ ที่ผลักดันไฮโดรเจนเป็นหนึ่งในเสาหลักของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน พวกเขาไม่ได้มองไฮโดรเจนแค่เป็น “เชื้อเพลิงทางเลือก” แต่เป็น “พลังงานยุทธศาสตร์” ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว รัฐบาลไต้หวันได้ประกาศแผนที่นำทางด้านไฮโดรเจนที่ชัดเจน โดยเฉพาะการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา Green Hydrogen หรือไฮโดรเจนที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการลดคาร์บอน

เทคโนโลยีการผลิตที่หลากหลาย: ไม่ได้มีแค่ Electrolysis

          เมื่อพูดถึงการผลิตไฮโดรเจน เรามักจะนึกถึงกระบวนการ Electrolysis (การแยกน้ำด้วยไฟฟ้า) เป็นอันดับแรก ซึ่งในไต้หวันก็มีการลงทุนในเทคโนโลยีนี้อย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนา Electrolyzer ที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจคือ ความหลากหลายของแนวทางการวิจัยและพัฒนา ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Electrolysis แบบดั้งเดิมเท่านั้น

  • PEM Electrolyzer (Proton Exchange Membrane): โรงงานที่ผมได้เยี่ยมชม กำลังเร่งพัฒนาและผลิต PEM Electrolyzer ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะกับการเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวนสูงอย่างพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ด้วยคุณสมบัติที่สามารถปรับการทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ผมได้เห็นต้นแบบของเครื่องผลิต Electrolyzer ที่มีขนาดกะทัดรัดขึ้น และกำลังทดสอบประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมจริง
  • Solid Oxide Electrolysis Cell (SOEC): นี่เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากสำหรับไต้หวัน เนื่องจากพวกเขามีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเหล็กกล้าที่ต้องการความร้อนสูง SOEC สามารถทำงานที่อุณหภูมิสูง ซึ่งช่วยลดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการแยกน้ำ และสามารถใช้ความร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการอุตสาหกรรมมาช่วยเสริมได้ นักวิจัยกำลังมุ่งเน้นการพัฒนาวัสดุและโครงสร้างของ SOEC เพื่อให้มีความทนทานและประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
  • Bio-Hydrogen Production: ไต้หวันยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาการผลิตไฮโดรเจนจากชีวมวลและของเสียทางการเกษตร (Bio-hydrogen) ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจสำหรับประเทศที่มีภาคเกษตรกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเทคโนโลยี Gasification และ Pyrolysis ที่แปลงชีวมวลให้เป็น Syngas แล้วนำไปผลิตไฮโดรเจนต่อ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ผลิตไฮโดรเจนได้ แต่ยังช่วยจัดการของเสียและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคเกษตรกรรมอีกด้วย
  • Hydrogen from Industrial By-products: ผมได้เห็นการนำเทคโนโลยีการดักจับและใช้ไฮโดรเจนที่เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมบางประเภท ซึ่งถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและลดการปล่อยของเสีย การนำไฮโดรเจนที่ถูกปล่อยทิ้งมาใช้ใหม่ ถือเป็นแนวคิดที่ชาญฉลาดและประหยัดต้นทุนในระยะแรก

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมแบบองค์รวม

        สิ่งที่ไต้หวันกำลังทำคือการสร้าง Ecosystem ของไฮโดรเจนที่แข็งแกร่ง พวกเขาไม่ได้มองแค่การผลิต แต่ครอบคลุมไปถึง:

  • ระบบจัดเก็บและขนส่ง: มีการลงทุนในการวิจัยวัสดุสำหรับถังเก็บไฮโดรเจนแรงดันสูง และการศึกษาความเป็นไปได้ในการผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติในท่อส่ง (Hydrogen Blending) เพื่อรองรับการใช้งานในอนาคต
  • การใช้งานปลายทาง (End-use Applications): มีโครงการนำร่องที่น่าสนใจ เช่น การใช้เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Fuel Cells) ในรถยนต์ รถบัส และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการใช้งานจริง
  • การเชื่อมโยงภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรม: สถาบันวิจัยของไต้หวันทำงานอย่างใกล้ชิดกับบริษัทเอกชน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ สิ่งนี้ช่วยเร่งให้งานวิจัยไม่หยุดอยู่แค่ในห้องทดลอง แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

สิ่งที่ไทยเรียนรู้จากไต้หวัน

         จากการไปสัมผัสเทคโนโลยีไฮโดรเจนของไต้หวัน ผมมองว่าประเทศไทยสามารถเรียนรู้ได้หลายประการ:

  1. ความสำคัญของการมีนโยบายระดับชาติที่ชัดเจน: ไต้หวันแสดงให้เห็นว่าการมีเป้าหมายและแผนที่นำทางที่แน่วแน่เป็นสิ่งจำเป็นในการดึงดูดการลงทุนและขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
  2. การลงทุนใน R&D อย่างต่อเนื่อง: ไต้หวันไม่หยุดอยู่แค่การนำเข้าเทคโนโลยี แต่เน้นการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมของตนเอง ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว
  3. ความหลากหลายของแนวทางการผลิต: การไม่จำกัดอยู่แค่เทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง แต่เปิดกว้างในการสำรวจแนวทางที่หลากหลาย เช่น Bio-hydrogen หรือการนำไฮโดรเจนจากของเสียอุตสาหกรรมมาใช้ใหม่ จะช่วยเพิ่มโอกาสและสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบพลังงาน
  4. การสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์: การมองภาพรวมตั้งแต่การผลิต จัดเก็บ ขนส่ง และการใช้งาน จะช่วยให้การพัฒนาอุตสาหกรรมไฮโดรเจนเป็นไปอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

        การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมมั่นใจว่า ไฮโดรเจนไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็น ความเป็นจริงที่กำลังก่อร่างสร้างตัว ทั่วโลก ไต้หวันได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความก้าวหน้าที่น่าชื่นชมในการพัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจน ซึ่งจะเป็นบทเรียนสำคัญให้ประเทศไทยได้นำมาปรับใช้ เพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีพลังงานสะอาดและยั่งยืนในอนาคตครับ

รัตนพัฒน์ ปีวิเศษกุลเดช นักวิชาการอิสระ(อดีตกมธ.พลังงาน)