โปรแกรม Art Therapy สำหรับองค์กร
กิจกรรมดูแลสุขภาพใจพนักงานในองค์กร พักจากความเครียด ความเหนื่อยล้า แล้วกลับมาเชื่อมโยงกันอย่างมีความหมาย
การสัมมนาครั้งนี้มุ่งนำเสนอข้อมูลจริงเพื่อให้ผู้บริหารองค์กรเข้าใจโครงสร้างต้นทุนสุขภาพที่กำลังเปลี่ยนแปลง และเห็นแนวทางใหม่ในการบริหารสวัสดิการพนักงานอย่างยั่งยืน โดยนำเสนอแนวทางบริหารสวัสดิการสุขภาพพนักงานด้วยโมเดล Self-Insured ที่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้องค์กรออกแบบแผนสวัสดิการสุขภาพได้ตามความต้องการของแต่ละกลุ่มพนักงาน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการบริหารต้นทุนสวัสดิการสุขภาพและสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานในองค์กร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นพ.สุธร ชุตินิยมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BVTPA กล่าวเปิดงานว่า “การจัดสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอทิศทางต้นทุนค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงปัจจัยสำคัญอย่างอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่อยู่ในระดับสูงถึงประมาณ 11–14% ต่อปี องค์กรต่าง ๆ จึงควรตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้ข้อมูลจริงจากระบบสวัสดิการในการวางแผนและบริหารจัดการอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ เพื่อควบคุมต้นทุน และออกแบบสิทธิประโยชน์ให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงานแต่ละกลุ่ม”
ค่ารักษาพยาบาลพุ่ง – ภาครัฐและองค์กรเอกชนรับแรงกดดัน
ดร.รพีสุภา หวังเจริญรุ่ง รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง เปิดเวทีด้วยข้อมูลสถานการณ์ด้านสุขภาพในระดับมหภาคโดยระบุว่า “ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศไทยในช่วงปีงบประมาณ 2565–2568 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.53% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ในปี 2568 พุ่งสูงถึง 11–14% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเร่งตัวของต้นทุนด้านสุขภาพ ได้แก่ โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย การเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังกลายเป็นภาระสำคัญที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นต้องเตรียมรับมืออย่างเร่งด่วนในอนาคตอันใกล้”
วิเคราะห์ข้อมูลจริง เผยต้นทุนเฉลี่ยพุ่งกว่า 27% ใน 5 ปี
คุณวศิน ประเวศโชตินันท์ ได้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากฐานข้อมูลการเคลมสุขภาพขององค์กรไทย และพบประเด็นสำคัญที่ผู้บริหารทรัพยากรบุคคลควรให้ความสำคัญโดยสรุปว่า “ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยด้านสุขภาพต่อพนักงานเพิ่มขึ้นจาก 5,634 บาท ในปี 2563 เป็น 7,170 บาทในปี 2567 ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนภาระต้นทุนด้านสุขภาพของแต่ละองค์กรที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีความถี่ในการเคลมสูงถึง 5.22 ครั้งต่อปี สูงกว่ากลุ่มวัยทำงานทั่วไปถึง 128% อีกทั้งยังพบแนวโน้มความเสี่ยงสะสมจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณเตือนให้องค์กรต้องเตรียมแผนรับมือด้านสวัสดิการสุขภาพอย่างเป็นระบบ”
เสวนาพิเศษ “จากข้อมูลสู่กลยุทธ์” องค์กรผู้นำร่วมแบ่งปันประสบการณ์จริงในการตัดสินใจปรับแผนสวัสดิการด้วยข้อมูล
ในช่วงเสวนา “จากข้อมูลสู่กลยุทธ์ – ยกระดับสวัสดิการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล”ผู้บริหารจากองค์กรที่มีประสบการณ์ตรงในการปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารสวัสดิการสุขภาพ โดยยึดข้อมูลเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงในองค์กร ได้แก่
การเสวนาในครั้งนี้มุ่งสะท้อนกระบวนการคิดและปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้องค์กรต่าง ๆ เริ่มหันกลับมาทบทวนและประเมินแผนสวัสดิการสุขภาพที่ใช้อยู่เดิมอย่างจริงจัง โดยหนึ่งในแรงกระตุ้นหลักคือภาระต้นทุนด้านสุขภาพของพนักงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หลายองค์กรยังขาดข้อมูลเชิงลึกสำหรับการวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีความท้าทายในการบริหารแผนสวัสดิการที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของพนักงานได้อย่างเพียงพอ ทำให้ต้องมีการพิจารณาความสำคัญของการใช้ข้อมูลย้อนหลัง ทั้งด้านพฤติกรรมการเคลม กลุ่มโรคที่พบบ่อย และแนวโน้มการใช้สิทธิจริง มาเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ เพื่อออกแบบแผนสวัสดิการใหม่ที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพด้านต้นทุนและประสบการณ์ที่ดีของพนักงาน (Employee Experience) อย่างยั่งยืน
ผู้ร่วมเสวนาทุกท่านต่างเห็นพ้องว่าการเปลี่ยนผ่านสู่การออกแบบแผนสวัสดิการสุขภาพโดยใช้ข้อมูลเป็นฐาน (data-driven benefits design) ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรเข้าใจต้นทุนที่แท้จริงได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถปรับแผนให้สอดคล้องกับบริบทและความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กรได้อย่างแท้จริง โดยกระบวนการนี้ควรเริ่มจากการวางแผนสวัสดิการภายใต้แนวคิดแบบใช้ข้อมูล (Data-Driven) การวิเคราะห์ข้อมูลเคลมย้อนหลัง เพื่อระบุพฤติกรรมการใช้สิทธิและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง การจับสัญญาณความเสี่ยงที่เกิดซ้ำหรือมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรง และท้ายที่สุดคือการปรับแผนให้เหมาะสมกับกลุ่มพนักงานที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสิทธิประโยชน์ พร้อมสร้างความพึงพอใจกับพนักงานองค์กร การมีพันธมิตรที่เข้าใจข้อมูลเชิงลึก เช่น ผู้ให้บริการ TPA และที่ปรึกษาทางคณิตศาสตร์ประกันภัย จึงมีบทบาทสำคัญในการเสริมศักยภาพให้องค์กรวางกลยุทธ์ที่ยั่งยืนได้ในระยะยาว
BVTPA พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ด้านกลยุทธ์สวัสดิการสุขภาพ
นพ.สุธร ชุตินิยมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BVTPA กล่าวปิดงานว่า“การเปลี่ยนผ่านอาจดูท้าทาย แต่ถ้าองค์กรมีข้อมูลที่ถูกต้อง เทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริง และพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจจริงก็สามารถควบคุมต้นทุนสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงานได้อย่างแท้จริง”
BVTPA ให้บริการแพลตฟอร์มวิเคราะห์และบริหารสวัสดิการสุขภาพในรูปแบบ Self-Insured แบบครบวงจรพร้อมระบบ Claim Analytics แบบ Real-time ที่ช่วยให้องค์กร
ด้วยการผสาน ข้อมูล, เทคโนโลยี และการให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด BVTPA มุ่งมั่นสนับสนุนให้องค์กรสามารถออกแบบแผนสวัสดิการสุขภาพที่มีทั้งประสิทธิภาพและความยั่งยืน
สนใจเปลี่ยนแผนสวัสดิการสุขภาพให้ “คุ้มค่าและยั่งยืน”?
ติดต่อ BVTPA เพื่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่
โทร: 02-660-1200
เว็บไซต์: www.BlueVentureTPA.com
Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/TPACare
Line Official: @TPACare
กิจกรรมดูแลสุขภาพใจพนักงานในองค์กร พักจากความเครียด ความเหนื่อยล้า แล้วกลับมาเชื่อมโยงกันอย่างมีความหมาย
ดีไซน์ที่เข้าใจชีวิตจริง | MOYA เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ถ่ายทอดแนวคิด "ความคุ้มค่า ที่ดีไซน์มาเพื่อคุณ" สู่ Total Bathroom Solutions ที่ทำให้ทุกวันดีขึ้นเสมอ
Classy Club, the distinctive apparel brand known for its "quiet messages" and sophisticated design, announces the Grand Opening of its first flagship store in Seoul's trendy Seongsu-dong district. The launch is set to elevate the brand's global presence and will feature the debut of its FURREAL collection.
แบรนด์แฟชั่นขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์เรียบโก้และสไตล์ “เรียบง่ายแต่ทรงพลัง” ประกาศเปิดตัวแฟลกชิปสโตร์ในระดับโกลบอลแห่งแรกอย่างเป็นทางการ ในย่าน Seongsu-dong แหล่งรวมแฟชั่นและครีเอทีฟสุดเทรนดี้ของกรุงโซล พร้อมเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ล่าสุด “FURREAL” อย่างยิ่งใหญ่ สะท้อนอัตลักษณ์อันเรียบง่ายอย่างมีความหมายของแบรนด์
Nonthaburi, Thailand – J&T Express Thailand, a leading global logistics service provider, continues to expand its Drop Point network with the launch of new locations at Central Westgate and Central Westville in Nonthaburi. The move aims to enhance accessibility to parcel delivery services and provide greater convenience for all customer segments, including shoppers and e-commerce operators in key economic areas.
นนทบุรี – เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ผู้ให้บริการขนส่งด่วนและโลจิสติกส์ชั้นนำระดับโลก เดินหน้าขยาย Drop Point ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต และเซ็นทรัล เวสต์วิลล์ จังหวัดนนทบุรี เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการจัดส่งพัสดุและมอบความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งนักช้อปและผู้ประกอบการ E-commerce ในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ
