STGT คว้า 3 รางวัลทรงเกียรติระดับประเทศ ในงาน TSCN Business Partner Conference 2025
STGT คว้า 3 รางวัลทรงเกียรติระดับประเทศ ในงาน TSCN Business Partner Conference 2025 และ ThaiBev Business Partner Award Ceremony 2025
นางสาวธัญญ์รวี ฐานนท์วรพงษ์ (ที่ 4 จากขวา) ผู้จัดการฝ่ายสิ่งแวดล้อม สาขาอันวาร์ และสาขาสะเดา พี.เอส. บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ได้ร่วมบรรยายและแบ่งปันประสบการณ์ในหัวข้อ “การสร้างมูลค่าและโอกาสทางธุรกิจด้วยแนวคิด Waste to Value” ผ่านกลยุทธ์ “Upcycling” ภายใต้งานสัมมนา “พัฒนาองค์กร ก้าวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน ปีที่ 4” จัดโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) โดยหนึ่งในโครงการที่ STGT สร้างมูลค่าให้กับของเสีย คือ Waste to Value โดยการนำถุงมือยางและวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากจากกระบวนการผลิตถุงมือยางของบริษัทฯ มารีไซเคิลและแปรรูปเป็นจานรองแก้ว รวมทั้งแผ่นยางปูพื้นกันกระแทก เพื่อส่งมอบให้สนามฝึกซ้อมมวย ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและพัฒนาศักยภาพเยาวชนด้านกีฬา อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการกลบฝังขยะ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างโครงการที่สอดรับด้าน ESG จำนวนมากที่ STGT ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการผสานกลยุทธ์ทางธุรกิจกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามหลัก ESG ครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล พร้อมกันนี้ ภายในงานดังกล่าว ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ STGT ยังได้ร่วมออกบูธเพื่อให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร เมื่อเร็ว ๆ นี้
STGT คว้า 3 รางวัลทรงเกียรติระดับประเทศ ในงาน TSCN Business Partner Conference 2025 และ ThaiBev Business Partner Award Ceremony 2025
อ.อ.ป. จัดพิธีน้อมรำลึก เนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2568
บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT นำโดยคณะผู้บริหารระดับสูง พร้อมด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ให้การต้อนรับคณะทูตจาก 21 ประเทศในยุโรปและเอเชีย ที่ได้ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมโรงงาน บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สาขาอันวาร์ และพื้นที่สวนยางพาราของกลุ่มบริษัทศรีตรัง เพื่อศึกษาดูงาน เสริมสร้างความมั่นใจ เปิดมุมมองศักยภาพและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สาขาตรัง เป็นหนึ่งในองค์กรที่ได้รับการรับรองการเป็น “องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก (Climate Action Leading Organization: CALO)”
Amid economic uncertainty caused by the U.S. government shutdown, Pink Elephant Thai & Asian Fusion, a Thai restaurant in Richmond, is transforming the crisis into a strategic opportunity. By shifting toward To-Go, Delivery, and Ghost Kitchen models, the brand is aligning itself with evolving American consumer behavior while showcasing the resilience of Thai cuisine as a global Soft Power force. From Dine-In to To-Go: A Shift in Consumer Behavior According to the National Restaurant Association (2024), over 68% of Americans order To-Go or Delivery at least twice a week, particularly during periods of financial caution when consumers seek value over formality. In response, Pink Elephant has focused on Meal Boxes, To-Go, and Delivery services via DoorDash, Uber Eats, and Grubhub, enabling the brand to reduce front-of-house costs while expanding its market reach significantly.
ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ร้านอาหารไทย Pink Elephant Thai & Asian Fusion ในเมืองริชมอนด์ กลับใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวสู่โมเดลธุรกิจใหม่ ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคอเมริกันที่หันมาเลือกอาหาร To-Go, Delivery และ Ghost Kitchen มากขึ้น พร้อมสะท้อนพลัง Soft Power อาหารไทย ที่ยังคงเติบโตท่ามกลางวิกฤติ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน: จาก “กินในร้าน” สู่ “To-Go” ข้อมูลจาก National Restaurant Association (2024) ระบุว่า ชาวอเมริกันกว่า 68% ใช้บริการ To-Go หรือ Delivery อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัดและมองหาความคุ้มค่า ร้าน Pink Elephant จึงเน้นบริการ Meal Box, To-Go และ Delivery ผ่าน DoorDash, Uber Eats และ Grubhub เพื่อตอบรับความต้องการนี้ ทั้งยังช่วยลดต้นทุนหน้าร้านและขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น