คินดริลและไมโครซอฟท์เผย 82% องค์กรไทย ผนึกพลังไอที-ความยั่งยืนได้อย่างแข็งแกร่ง ชี้ AI คือกลไกขับเคลื่อน เพื่อปลดล็อกการเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กรุงเทพฯ : วันที่ 15 ธันวาคม 2568คินดริล (Kyndryl) ผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ร่วมมือกับไมโครซอฟท์ (Microsoft) เผยแพร่ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ประจำปีครั้งที่สาม ซึ่งจัดทำโดย Ecosystm ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าองค์กรในประเทศไทยมีความร่วมมือระหว่างทีมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) และทีมงานด้านความยั่งยืนอยู่ในระดับสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยมากกว่าแปดในสิบองค์กร (82%) รายงานว่า ทั้งสองส่วนงานนี้มีการทำงานอย่างสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 73% ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรไทยมีความพร้อมอย่างมากในการเสริมสร้างความยั่งยืน และการนำ AI มาผสานใช้ในการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม

 

องค์กรเหล่านี้จำนวนหนึ่งในสาม (32%) ยังคงรักษาหรือพัฒนาเป้าหมายด้านความยั่งยืนของตนให้ก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตเต็มที่ทั้งในด้านความตระหนักรู้และการลงมือปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน อันเนื่องมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ ตอบสนองต่อความคาดหวังด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กำลังพัฒนา ตอบสนองต่อการจัดลำดับความสำคัญของผู้ลงทุน และกรอบการรายงานที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

 

นายกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คินดริล ประเทศไทย กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจไทยกำลังสร้างรากฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการสร้างผลกระทบด้านความยั่งยืนในระยะยาวให้แข็งแกร่ง โอกาสต่อไปอยู่ที่การเปลี่ยนจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแบบตั้งรับ ไปสู่แนวทางที่ผนวกความยั่งยืนเข้าไว้เป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจ การที่องค์กรต่าง ๆ เปลี่ยนจากรูปแบบดั้งเดิมที่ทำงานแยกส่วนกัน ไปสู่แนวทางการทำงานที่มีการบูรณาการมากขึ้น พร้อมทั้งเสริมศักยภาพด้านการจัดการข้อมูลและ AI จะทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทรงพลังได้มากขึ้น”

 

ประเทศไทยแสดงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนและเป็นผู้นำการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย AI ในอนาคต

ผลการศึกษาชี้ว่า ปัจจุบันทีมงานด้านไอทีในองค์กรไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการด้านความยั่งยืนในทุกส่วนขององค์กร โดยคิดเป็นหนึ่งในห้า (20%) ของทีมไอทีทั้งหมดที่ทำการศึกษา ในขณะที่ผู้นำด้านความยั่งยืน 32% มีอิทธิพลต่อการกำกับดูแลด้านไอที สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรไทยมีความพร้อมในการจัดลำดับความสำคัญและผนวกรวมเป้าหมายทางธุรกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นอกจากนี้จำนวนองค์กรที่ใช้ AI เพื่อยกระดับผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมก็มีมากขึ้น โดยหนึ่งในสองขององค์กรเหล่านี้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและสินทรัพย์ขององค์กร

 

อย่างไรก็ตามผลการศึกษาพบว่า การนำ AI มาใช้เชิงกลยุทธ์นั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีเพียง 28% ที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนความยั่งยืน และ 57% กำลังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้จริง อยู่ในขั้นทดลองและเริ่มดำเนินการ หรือกำลังพิจารณานำ Agentic AI ไปใช้ในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์ องค์กรส่วนใหญ่ระบุว่า การเก็บรวบรวมข้อมูลและคุณภาพของข้อมูลเป็นส่วนที่ต้องปรับปรุงก่อนที่จะนำแอปพลิเคชัน AI ที่ล้ำหน้ามาประยุกต์ใช้ องค์กรจำนวนมากยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการผนวกความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงานหลักของธุรกิจ โดยมีเพียงหนึ่งในสิบองค์กรเท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับธุรกิจ ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่าแม้รูปแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรไทยยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีโอกาสอีกมากที่จะสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าได้

 

นายริคาร์โด ดาวิลา ผู้จัดการทั่วไป ด้านโซลูชันพันธมิตรระดับองค์กรของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ประจำปี 2025 ชี้ให้เห็นว่าองค์กรชั้นนำมากกว่าครึ่งใช้ AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) เพื่อคาดการณ์และรับมือความท้าทายด้านความยั่งยืน มากกว่าใช้เป็นเพียงแค่ติดตามและวิเคราะห์เท่านั้น ทำให้มีการนำข้อมูลเชิงคาดการณ์ไปเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เราภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ เพื่อช่วยให้องค์กรทุกแห่งเปลี่ยนความยั่งยืนให้เป็นความสามารถในการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”

 

ผลการศึกษาสำคัญขององค์กรไทย

  • องค์กรไทยกำลังเสริมแกร่งรากฐานให้กับความสามารถด้านความยั่งยืน: องค์กรไทยกำลังยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ โดย 57% ขององค์กรถือว่าความยั่งยืนมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์อันดับต้น ๆ นอกจากนี้องค์กรหนึ่งในสาม (32%) ขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโครงการริเริ่มที่ทำอย่างสม่ำเสมอหรือดำเนินการในเชิงรุก ซึ่งบ่งชี้ว่า แม้เส้นทางเดินสู่ความยั่งยืนของประเทศไทยจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็กำลังมีพัฒนาการและคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
  • การตัดสินใจด้านความยั่งยืนขับเคลื่อนด้วยผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และความคุ้มค่าด้านต้นทุน: ความพยายามด้าน ESG ขององค์กรไทย มีความเชื่อมโยงอย่างยิ่งกับผลประกอบการหรือฐานะทางการเงิน โดย 65% ขององค์กรระบุว่า การลดต้นทุนการดำเนินงานเป็นประโยชน์สูงสุดที่ได้รับจากโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ 45% ยังคาดว่าความยั่งยืนจะนำสู่นวัตกรรมและโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ และ 50% เร่งดำเนินโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมา หลังจากที่เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ 48% ยังคงมองว่าการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นความท้าทายที่ยังต้องแก้ไข
  • การตื่นตัวสู่ AI ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green AI) ในประเทศไทย บ่งชี้เรื่องความพร้อมที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ: ความตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ AI ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 7% เป็น 42% ภายในปีเดียว ประเทศไทยยังมีความก้าวหน้าในการใช้ความสามารถเชิงคาดการณ์ โดย 50% ขององค์กรที่ทำการศึกษา ใช้ AI เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม มีเพียง 28% เท่านั้นที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการตัดสินใจด้านความยั่งยืน และช่องว่างด้านความพร้อมของข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง

 

นาย Sash Mukherjee, รองประธานฝ่าย Industry Insights, Ecosystm กล่าวว่า “มีแรงผลักดันที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยข้อมูลอัจฉริยะ และองค์กรต่างตระหนักถึงคุณค่าที่จะได้รับเมื่อสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับกลยุทธ์ได้อย่างสอดคล้องกัน และเมื่อมีรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งมากขึ้น องค์กรจะสามารถใช้ประโยชน์จาก predictive AI และ agentic AI เพื่อผนวกความสามารถในการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้น เข้ากับแนวทางปฏิบัติงานด้านความยั่งยืนได้”

 

เกี่ยวกับ Global Sustainability Barometer Study

Global Sustainability Barometer Study ฉบับที่สาม จัดทำโดย Ecosystm โดยได้รับมอบหมายจากคินดริล และไมโครซอฟท์ โดยรวบรวมมุมมองจากผู้นำองค์กร 1,286 คน ครอบคลุม 20 ประเทศ รวมถึงประเทศสิงคโปร์ ในกลุ่มอุตสาหกรรม 9 กลุ่ม การศึกษานี้จัดทำระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มุมมองที่ชัดเจนว่าการบูรณาการกลยุทธ์และเทคโนโลยี กำลังพลิกโฉมเรื่องของความยั่งยืน จากการปฏิบัติตามกฎระเบียบไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างไร สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานนี้ได้ที่: From Planning to Progress: AI-Driven Sustainability in Practice

 

###

 

เกี่ยวกับ คินดริล

คินดริล (NYSE: KD) เป็นผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ให้บริการตั้งแต่การให้คำปรึกษา การติดตั้งใช้งาน จนถึงการจัดการบริการต่าง ๆ แก่ลูกค้าหลายพันรายในกว่า 60 ประเทศ ในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทฯ มีหน้าที่ออกแบบ สร้าง บริหารจัดการ และปรับปรุงระบบสารสนเทศที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่โลกต้องพึ่งพาในชีวิตประจำวันให้ทันสมัย ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.kyndryl.com

 

ข้อมูลสำหรับสื่อมวลชน

Archetype on behalf of Kyndryl

Irene Teoh / Tabea Wanninger

[email protected]

 

นภา สุทธิญาณโสภณ

บริษัทเอฟเอคิว จำกัด

[email protected]